ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน
(Constructionism)
ณัชชากัญญ์
วิรัตนชัยวรรณ (https://www.l3nr.org/posts/386486)
ได้เขียนเกี่ยวกับทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงานไว้ว่า
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน(Constructionism) แนวคิดของทฤษฏีนี้ คือ
การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเอง
หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและนำความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม
จะทำให้ความคิดเห็นนั้นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
nattarika010339. (https://nattarikablog.wordpress.com/ทฤษฎีการสร้างความรู้/) ได้รวบรวมเกี่ยวกับทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน
(Constructionism) ว่า ทฤษฎี Constructionism เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง พัฒนาขึ้นโดย Professor Seymour
Papertแห่ง M.I.T.
(Massachusetts Institute of Technology) สหรัฐอเมริกา โดยพัฒนามาจากทฤษฎี Constructivism ของ Piaget
ทฤษฎี Constructionism นี้จึงเกี่ยวข้องกับการสร้าง 2 ประการ กล่าวคือ
เมื่อเด็กสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่างออกมาเท่ากับว่าเด็กได้สร้างความรู้ขึ้นมาภายในตนเองด้วย
ความรู้ที่เด็กได้สร้างขึ้นภายในตนเองนี้จะช่วยให้เด็กนำไปสร้างความรู้ใหม่
หรือสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ ที่ความสลับซับซ้อนกันมากขึ้น
ทำให้เกิดความรู้เพิ่มพูนขึ้นตามไปด้วย
แนวคิดสำคัญของทฤษฎี (Constructionism
เริ่มที่ผู้เรียนต้องอยากจะรู้
อยากจะเรียน จึงจะเป็นตัวเร่งให้เขาขับเคลื่อน (ownership)
ใช้ความผิดพลาดเป็นบทเรียนเป็นแรงจูงใจ(internalmotivation)
ให้เกิดการสร้างสรรค์ความรู้
การเรียนรู้เป็นทีม
(team
learning) จะดีกว่าการเรียนรู้คนเดียว
เป็นการเรียนรู้วิธีการเรียนรู้
(Learning
to learn) ไม่ใช่การสอน
หลักการของทฤษฎี
Constructionism
มีหลักการสำคัญดังนี้ (สุชิน
เพ็ชรักษ์, 2548 : 31 – 34)
หลักการที่ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
หลักการเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructionism คือ
การให้ผู้เรียนลงมือสร้างสิ่งของหรือประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอกที่มีความหมาย
ซึ่งจะรวมถึงปฏิกิริยาระหว่างความรู้ในตัวของผู้เรียนเองกับประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมภายนอกสามารถเชื่อมโยงและสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่
หลักการที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ หลักการตามทฤษฎีConstructionism
ครูต้องจัดบรรยากาศการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนด้วยตนเอง
โดยมีทางเลือกที่หลากหลายและเรียนรู้อย่างมีความสุข
สามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้ใหม่กับความรู้เก่าได้
ส่วนครูทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยและคอยอำนวยความสะดวก
หลักการเรียนรู้จากประสบการณ์และสิ่งแวดล้อม
หลักการนี้เน้นให้เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ร่วมกัน
ทำให้ผู้เรียนเห็นว่าคนเป็นแหล่งความรู้อีกแหล่งหนึ่งที่สำคัญ การสอนตามทฤษฎี Constructionism เป็นการจัดประสบการณ์เพื่อเตรียมคนออกไปเผชิญโลก
ถ้าผู้เรียนเห็นว่าคนเป็นแหล่งความรู้สำคัญและสามารถแลกเปลี่ยนความรู้กันได้
เมื่อจบการศึกษาออกไปก็จะปรับตัวและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ
หลักการนี้เน้นการใช้เทคโนโลยีแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆ ด้วยตนเอง
เป็นผลให้เกิดพฤติกรรมที่ฝังแน่นเมื่อผู้เรียน เรียนรู้ว่าจะเรียนรู้ได้อย่างไร (Learning
how to
Learn)
หลักการของทฤษฎี Constructionism
เป็นการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติหรือสร้างสิ่งที่มีความหมายกับตนเอง
ดังนั้นเครื่องมือที่ใช้ต้องมีลักษณะเอื้อต่อการให้ผู้เรียนนำมาสร้างเป็นชิ้นงานได้สำเร็จ
ตอบสนองความคิดและจินตนาการของผู้เรียน
กล่าวโดยสรุปก็คือ
เครื่องมือทุกชนิดที่สามารถทำให้ผู้เรียนสร้างงานหรือลงมือปฏิบัติด้วยตนเองได้เป็นเครื่องมือที่สอดคล้องตามหลักการทฤษฎี
Constructionism
แนวการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎี
Constructionism
ขั้นตอนตามแนวทฤษฎี Constructionism ( 5 Steps to Constructionism ) ดังนี้
ขั้นที่ 1
จุดประกายความคิด (Sparkling)
ขั้นที่ 2
สะกิดให้ค้นคว้า (Searching)
ขั้นที่ 3
นำพาสู่การปฏิบัติ (Studying )
ขั้นที่ 4 จัดองค์ความรู้ ( Summarizing)
ขั้นที่ 5
นำเสนอควบคู่การประเมิน ( Show and Sharing)
การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองได้
แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน หลักๆ คือ
1.
Explore คือ การสำรวจตรวจค้น
ในขั้นตอนนี้บุคคลจะเริ่มสำรวจตรวจค้นหรือพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งใหม่(assimilation)
ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อได้พบหรือ
ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่ไม่มีอยู่ในสมองของตน
ก็จะพยายามรับหรือดูดซึมเก็บเข้าไปเป็นความรู้ใหม่
พฤติกรรมเหล่านี้หลายท่านอาจจะเคยสัมผัสด้วยตนเองหรือเคยสังเกตเห็นจากการเข้าร่วมกิจกรรมการต่อเลโก้
&โลโก้ จะเห็นว่าในวันแรกที่ได้พบกับอุปกรณ์ที่เป็นตัวต่อ
หลายๆคนที่ไม่มีประสบการณ์เลยอาจจะเริ่มจากสำรวจชิ้นส่วนต่างๆว่ามีอะไรบ้างและแต่ละตัวใช้ทำงานอะไร
หรือนั่งมองคนอื่นๆต่อไปก่อน อาจจะสอบถามจากเพื่อนที่นั่งใกล้ๆ
หรือบางคนอาจจะดูจากคู่มือที่มีอยู่เพื่อพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งใหม่นั้น
2.
Experiment คือ การทดลอง
ในขั้นตอนนี้จะเป็นการทดลองทำภายหลังจากที่มีการสำรวจไปแล้ว
เป็นการปรับความแตกต่าง(acommodation) เมื่อได้พบหรือปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่สัมพันธ์กับความคิดเดิมที่มีอยู่ในสมอง
นั่นหมายความว่าเริ่มจะปรับความแตกต่างระหว่างของใหม่กับของเดิมจนเกิดความเข้าใจว่าควรจะทำอย่างไรกับสิ่งใหม่นี้
เช่น ในการต่อเลโก้ &โลโก้
หลังจากที่สำรวจชิ้นส่วนต่างๆและเก็บเป็นความรู้ไว้ในสมองแล้ว
ต่อไปอาจจะเป็นการทดลองสร้างโดยอาจจะสร้างตามตัวอย่างในคู่มือ
หรืออาจจะทดลองต่อเป็นชิ้นงานที่ตนเองอยากจะทำ หรืออาจจะทดลองต่อตามเพื่อนๆก็ได้
แต่บางคนก็พยายามที่จะปรับตนเองโดยการสอบถามเพื่อนที่สามารถทำได้(ซึ่งจุดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้ทราบว่าคนเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญอย่างหนึ่งและการแสวงหาความรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว)
ในขั้นตอนนี้อาจจะมีลองผิดลองถูกบ้างเพื่อจะเก็บเกี่ยวเป็นประสบการณ์และสร้างเป็นองค์ความรู้เก็บไว้ในสมองของตนเอง
อย่างไรก็ตามในขั้นตอนนี้จะเกิดทั้งการดูดซึม (assimilation) และ การปรับความแตกต่าง(acommodation) ผสมผสานกันไป
3.
Learning by doingคือ การเรียนรู้จากการกระทำ
ขั้นนี้เป็นการลงมือปฏิบัติกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือการได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่มีความหมายต่อตนเอง
แล้วสร้างเป็นองค์ความรู้ของตนเองขึ้นมา ซึ่งจะคาบเกี่ยวกับขั้นตอนที่ผ่านมา
ขั้นนี้จะเกิดทั้งการดูดซึม (assimilation) และ
การปรับความแตกต่าง (acommodation) ผสมผสานกันไป
เช่นเดียวกัน
4.Doing
by learningคือ การทำเพื่อที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้
ขั้นตอนนี้จะต้องผ่านขั้นตอนทั้ง 3
จนประจักษ์แก่ใจตนเองว่าการลงมือปฏิบัติกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือการได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่มีความหมายนั้น
สามารถทำให้เกิดการเรียนรู้ได้และเมื่อเข้าใจแล้วก็จะเกิดพฤติกรรมในการเรียนรู้ที่ดี
รู้จักคิดแก้ปัญหา รู้จักการแสวงหาความรู้ การปรับตนเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ
ฯลฯ นั่นก็คือเกิดภาวะที่เรียกว่า”Powerfull learning” ซึ่งก็คือเกิดการเรียนรู้ที่จะดูดซึม
(assimilation) และ การปรับความแตกต่าง(acommodation)
อยู่ตลอดเวลาอันจะนำไปสู่คำกล่าวที่ว่า”คิดเป็น
ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น” นั่นเอง
อย่างไรก็ตามขั้นตอนที่กล่าวมาทั้ง 4
ขั้นจะเห็นได้ว่ามีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
จนบางทีไม่สามารถแยกออกว่าพฤติกรรมที่เห็นนั้นอยู่ในขั้นตอนไหนเพราะมีการผสมผสานกันอยู่ตลอดเวลา
และในการเริ่มต้นของแต่ละบุคคลนั้นอาจมีความแตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะเริ่มที่ Experiment
หรืออาจจะเริ่มที่ Learning by doing เลยก็ได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้เดิมที่มีอยู่ในสมองของแต่ละบุคคลนั้นไม่เท่ากัน
สยุมพร
ศรีมุงคุณ (2555).ได้รวบรวมทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน
(Constructionism) ไว้ดังนี้แนวคิดของทฤษฏีนี้คือ
การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเอง
หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและนำความคิดของตนเองไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทำให้ความคิดเห็นนั้นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นหลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้
คือ ครูจะต้องทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้แก่ผู้เรียน
ให้คำปรึกษาชี้แนะแก่ผู้เรียน เกื้อหนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญ
ในการประเมินผลนั้นต้องมีการประเมินทั้งทางด้านผลงานและกระบวนการซึ่งสามารถใช้วิธีการที่หลากหลาย
เช่น การประเมินตนเอง การประเมินโดยครูและเพื่อน การสังเกต
การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน
สรุป
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน(Constructionism) ให้ความสำคัญกับโอกาสและวัสดุที่จะใช้ในการเรียนการสอนที่ผู้เรียนสามารถนำไปสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียนเองได้
ไม่ใช่มุ่งการสอนที่เป็นการป้อนความรู้ให้กับผู้เรียน แต่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้จากการลงมือทำผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ดำเนินกิจกรรมการเรียนด้วยตนเองมีทางเลือกที่มากขึ้นโดยการลงมือปฏิบัติหรือสร้างงานที่ตนเองสนใจ
และสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาเองโดยการผสมผสานระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่
ที่มา
ณัชชากัญญ์ วิรัตนชัยวรรณ.http://www.learners.in.th/blogs/posts/386486. [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2561.
nattarika010339.(2559).https://nattarikablog.wordpress.com/ทฤษฎีการสร้างความรู้/. [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561.
สยุมพร
ศรีมุงคุณ.(2555).https://www.gotoknow.org/posts/341272. [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ
วันที่
2
สิงหาคม 2561.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น